Hi my name is Kewalee. I am 18 years old. I was a volunteer of Nice International Workcamp, Hitachiomiya 2018 in Japan during July 26th to August 6th 2018. I just finished high school from GED test (High School of America) last year. After I finished high school, I traveled a lot in Thailand and visit many places to find new experiences through many positions such as a volunteer, workcamp leader, workcamp leader assistant. So this year I found an opportunity to travel abroad to improve myself, to improve my English skills, to be open-minded as a way to learn new cultures and languages, and to learn how to work with other people.
The main activities of this workcamp were preparing the place and making the decoration for nagakura tanabata Festival. These activities taught me a lot by working with other people who have different cultures, languages, and ages. Even if we are different but it is not a problem because every volunteer and local people are very kind, polite and fun. Even some of local people can’t speak In English but they tried to communicate with us, and also taught us how to work and they taught me to speak Japanese too. Everybody here always smiles and laughs. They work hard and are really on time. Working with them improved me a lot to be a person who works hard and be on time. Practicing and performing Wadaiko made a lot of good memories for me. Wadaiko is a Japanese drums performance and we had to perform Wadaiko on the day of the festival too. For this activity we had only 4 times to practice, at first I thought it was really hard but when we were practicing, teachers are very kind and we had a lot of fun together. We have only 4 times to practice but we did it very well on the day of Festival because we were harmonized and always helping each other. When I went to practice this drum, I met a little boy, his name is Kento and he was going to perform the show with us. After we had finished practicing, we would get 15 minutes to take a break. During that time I tried to talk and played with him. At first he was very shy. But after that he would come and play with me every break time and we become close friend. On the last day he gave me a picture that we took together and he wrote a message for me too, this is the best gift for me from Japan.
To be a volunteer of this camp is the best moment in my life. On the first day I arrived Japan, traveling alone was so hard. But when I asked or when I needed help, nobody ignores me. Even if they cannot speak in English, they tried to help me. Japanese people are very kind. Especially, people in this workcamp are very nice and kind. I don’t know how to explain how much I love this workcamp. Everything was very nice. I met many good friends here, we had a lot of good memories that we did together. I was always happy and laugh when I was working with everybody in this workcamp, volunteers, local people, and host. If I have a chance, I would like to go back to Japan again. This is really nice country, and this is a good choice for you to come to be a volunteer here. Finally thank you for this opportunity and everything.
Category: Volunteer stories
สวัสดีค่ะชื่อเตยนะคะ ตอนนี้อายุ 19 ปี ได้มีโอกาสไปทำอาสาสมัครที่เกาหลีใต้มาช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย ตอนแรกค่อนข้างลังเลและไม่มั่นใจกับการไปทำอาสาสมัครที่ต่างประเทศมาก อาจเป็นเพราะคนไทยไปทำงานแบบนี้น้อยและเคยมีข่าวไม่ดีบ้างแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป
การเตรียมตัวก่อนการเดินทางไม่มีอะไรมากนะคะ อาจจะมีลำบากตรงเรื่องเอกสารเล็กน้อย ก่อนเริ่มค่ายประมาณ 1 เดือนจะมีหัวหน้าค่ายติดต่อเรามาเพื่อขอทราบข้อมูลเราบางอย่าง หัวหน้าค่ายที่ดูแลอาสาสมัครในค่ายนี้น่ารักมากค่ะ เป็นกันเองมากๆและตอบคำถามเราดีมากๆด้วย
พอถึงวันที่ต้องเดินทางจริง เตยเดินทางคนเดียวเป็นการขึ้นเครื่องบินคนเดียวครั้งแรกแต่ก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าอะไรมากค่ะ พอลงเครื่องที่เกาหลีเราก็ต้องนั่งรถบัสจากสนามบินเพื่อไปเจอกับหัวหน้าค่ายที่จุดนัดพบ ซึ่งการเดินทางไปก็ไม่ลำบากค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนรถเลยสะดวกมาก
วันแรกจะเป็นกิจกรรมแนะนำเพื่อนใหม่ 7 คนจาก 6 ประเทศ มีเวียดนาม (2 คน) อินโดนีเซีย รัสเซีย แม็กซิโก ฝรั่งเศสแล้วก็เราจากไทยแลนด์
นอกจากไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆอาสาสมัครจากทั่วโลกแล้วเราก็จะได้ทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนมัธยมปลายที่อยู่ในเมืองนั้นอีก 8 คนด้วยค่ะ ซึ่งน้องๆมัธยมปลายน่ารักมาก เป็นกันเองมากค่ะ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกันบ้างเพราะน้องบางคนพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเท่าไหร่ค่ะ
อาสาสมัครและน้องนักเรียนทุกคนต้องอยู่ด้วยกันที่หอพักของมหาวิทยาลัยใกล้ๆนะคะ หอพักดีมากค่ะ มีแอร์มีห้องน้ำในตัว หนึ่งห้องต่อสองคนค่ะ
ส่วนกิจกรรมในวันถัดๆมาก็จะเกี่ยวกับเรื่องของวัฒนธรรม ได้ไปเยี่ยมชมพระราชวังเก่าที่โซล ชมวิวแม่น้ำฮันยามค่ำคืน ได้ไปเดินเขาเยี่ยมชมพระราชวังที่ในสมัยนั้นกษัตริย์จะมาอาศัยในช่วงที่เกิดสงครามค่ะ ที่นั้นจะเป็นไฮไลท์ของค่ายนี้เลยนะคะ บรรยากาศของป้อมปราการเก่าท่ามกลางป่าสีเขียวมองลงมาสามารถเห็นเมืองทั้งเมืองได้เลยค่ะ แต่เราก็จะไม่ได้แค่ไปเดินเขาชมวิวธรรมดานะคะ เราจะมีแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่มถ่ายทำวีดีโอที่แสดงจุดแข็งและจุดอ่อนของป้อมปราการนี้เพื่อนำไปฉายในวันจบค่ายด้วยค่ะ
ในส่วนของ 5 วันแรกจะทำกิจกรรมกับนักเรียนม.ปลายและอีก 5 วันถัดมาจะทำกิจกรรมกับนักเรียนม.ต้นอีกประมาณ 40 คน กิจกรรมที่ทำร่วมกันจะเป็นเพื่อความบันเทิงมากกว่า เช่น ไปเล่นโบว์ลิ่ง ทำอาหารนานาชาติด้วยกัน ไปเที่ยวสวนสนุก Lotte World ด้วยกัน หรือออกนอกเมืองไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ค่ะ ซึ่งในส่วนของการทำกิจกรรมร่วมกับก็จะติดตรงเรื่องภาษาค่ะ เพราะว่านักเรียนส่วนมากใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็จะมีนักเรียนที่พูดได้ทำหน้าที่เป็นล่ามประจำแต่ละกลุ่มให้ค่ะ นักเรียนม.ต้นที่ทำกิจกรรมด้วยก็น่ารักดีค่ะแต่บางคนก็ซนไปหน่อย
โดยภาพรวมแล้วเรามีความสุขกับการไปทำงานอาสาสมัครในครั้งนี้มากๆเลค่ะ ร้องไห้ตอนแยกกับเพื่อนไปหลายรอบมาก ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันไม่กี่วันแต่ก็สนิทกันมากค่ะ ทั้งเพื่อนอาสาสมัครด้วยกันและนักเรียนที่มาทำกิจกรรมด้วยกัน มันเป็นความสุขที่ไม่วุ่นวาย สุขใจ ได้เจอแต่คนดีๆกิจกรรมสนุกๆไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทุกข์ใจเลยค่ะ เรารักเพื่อนอาสาสมัครทุกคน รักน้องม.ปลายที่ทำกิจกรรมด้วยกัน รักหัวหน้าค่ายทั้งสองคนมากๆเลย ทุกคนสัญญากันถ้ามีโอกาสต้องกลับมาเจอกันอีกครั้งให้ได้นะ
สำหรับเรามันเป็น 10 วันที่มีความหมายมากเลยค่ะ เป็นการก้าวออกจาก comfort zone ที่ดีมากจริงๆ อยากบอกทุกคนที่สนใจมาทำอาสาสมัครในต่างประเทศนะคะว่าประสบการณ์แบบนี้ มิตรภาพดีๆแบบนี้หาได้ไม่ยากค่ะไม่ต้องลงทุนอะไรเยอะแยะมากมาย ขอแค่เรากล้าที่จะพบความเปลี่ยนแปลงในชีวิตและลองออกมาทำอะไรที่เราไม่เคยทำค่ะ สุดท้ายนี้อยากขอบคุณพี่หยองขอบคุณดาหลาขอบคุณหัวหน้าค่ายขอบคุณเพื่อนอาสาสมัครขอบคุณน้องนักเรียนและขอบคุณตัวเอง
ก่อนอื่นแนะนำตัวกันก่อนดีกว่า
สวัสดีค่ะ เราชื่อนางสาวภาวิตา ยะสะนพ ชื่อเล่น เบคก้า อายุ 19 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน ถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2561 รวมๆแล้วก็ 60 วัน เรามีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรม กิจกรรมหนึ่งที่ประเทศเยอรมันนี เป็นโครงการที่มีชื่อว่า INCOMING-PROGRAM of Internationale Jugendgemeinschaftsdienste (IJGD) เป็นโครงการระยะเวลา 2 เดือน โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการให้ผู้เข้าร่วมได้มาฝึกเป็นผู้นำในค่ายอาสาสมัครนานาชาติ
ความเป็นมายังไงทำไมเราถึงได้ร่วมโครงการนี้?
เริ่มแรกเลยคือเราเคยมีโอกาสได้ช่วยและเป็นผู้เข้าร่วมค่ายต่างๆรวมทั้งค่ายอาสาสมัครนานาชาติของดาหลาด้วย หลังๆก็ได้มีโอกาสมาเป็นผู้ช่วยค่าย ทำไปเรื่อยๆเริ่มรู้สึกว่าสนุกดีและคงจะดีถ้าได้มีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นเพราะเราได้ฝึกอะไรหลายๆอย่างทั้งภาษา การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม การทำงานอาสา และอื่นๆ วันนึงก็ได้ยินเกี่ยวกับโครงการนี้ เลยมีความสนใจเพราะมันค่อยข้างตรงอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่เลยลองสมัครดู เอาจริงๆก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในความสามารถและภาษาของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ลองดูก็ไม่เสียหายเนอะ…ปรากฏว่าได้รับเลือก!!!
ตอนแรกพอได้เมลล์แล้วตื่นเต้นมากกกก พอตั้งสติได้ก็เริ่มดำเนินการจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ เช่น ขอวีซ่า เตรียมนู่นนี่ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆตั้งแต่เริ่มต้นเลยทั้งการขอวีซ่า การเตรียมเอกสารต่างๆ เพราะส่วนใหญ่ต้องทำเองแต่โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่ๆที่ดาหลาด้วย ระยะเวลาสำหรับวีซ่าของเราประมาณ 2-3 วันก็ได้รับซองจดหมายจากสถานทูตแล้ว(เร็วเว่อร์)
ผ่านไปแป๊บเดียวก็ถึงกำหนดที่จะต้องเดินทางแล้ว ซึ่งก็คือวันที่ 20 มิถุนายน เป็นเที่ยวบินกลางคืนซึ่งใช้เวลาในการรอน๊านนาน ยิ่งรอคนเดียวอีก ตื่นเต้นมากกกก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินทางไปต่างประเทศคนเดียวแล้วยังต้องไปใช้ชีวิตไกลถึงทวีปยุโรป 2 เดือนเต็มๆ ทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุดและคิดว่ามันเป็นความท้าทายที่น่าสนใจ พอขึ้นเครื่องปุ๊ป…..หลับ เพราะเวลาก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ใช้เวลาบินประมาณ 10 ช.ม. แล้วต้องเปลี่ยนเครื่องที่ เวียนนา ประเทศ ออสเตรีย ประมาณ 1 ช.ม.ก็ถึงสนามบินเบอร์ลิน พอไปถึงที่นั่นไม่นานก็มีผู้ประสานงานจากทางองค์กรชื่อ Feri มารับ เค้าดูเป็นคนใจดีระหว่างทางก็คุยนู่นคุยนี่กันไป ตอนแรกๆก็ยังเกร็งๆ เพราะยังมึนๆแล้วก็กังวลกับภาษาของตัวเอง พอไปถึงที่พักก็พบว่ามีสมาชิก คนอื่นๆมาถึงก่อนหน้าเราแล้ว ในโครงการ Incoming-Program มีด้วยกันทั้งหมด 6 คนรวมทั้งเรา ซึ่งพวกเราทั้ง 6 คนจะอยู่ด้วยกัน 2 เดือนเต็มๆ
พอทุกคนมาถึงกันแล้วผู้ประสานงานก็เริ่มคุยเกี่ยวกับรายละเอียดและโปรแกรมของอาทิตย์แรก โดยอาทิตย์แรกคือตั้งแต่วันที่ 22-28 มิถุนายน เป็นการอบรมเกี่ยวกับการจัดการและออกแบบค่าย โดยมีชื่อว่า .”Training seminar for leading an international group” และในการอบรมที้ใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดเลย มีสมาชิกผ็เข้าร่วมทั้งหมด 13 คน และ ผู้นำสัมนาอีก 3 คน ช่วงแรกๆก็ต้องใช้การปรับตัวหน่อยเพราะ มีคนเยอะและมาจากหลากหลายที่ ภาษาก็เข้าใจ แต่บางครั้งก็มีพวกหัวข้อและคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เราไม่ค่อยได้เข้าถึงอันนี้ก็ต้องทำการบ้านหนักหน่อย อันไหนไม่เข้าใจจริงๆก็ถามหรือไม่ก็นั่งฟังเฉยๆไป เนื้อหาหลักๆที่พูดถึงกันในหนึ่งสัปดาห์ เกี่ยวกับ
หัวข้อเรื่องจาก ijgd เช่น บทบาทของ ผู้นำในค่าย, เทคนิค, เงื่อนไข,โครงสร้างและจุดประสงค์ของ องค์กร (ijgd)
หัวข้อสากล เช่น วิธีการเรียนรู้ระหว่างวัฒนธรรมในค่าย, ทีมผู้นำที่มีความแตกต่าง, ทำค่ายสร้างหรือสู้กับอคติ, ความขัดแย้งด้านวัฒนธรรม, และบทบาทไหนของผู้นำที่ควรจะเป็นในสถานการณ์นั้นๆ
บรรยาการในหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้มีแค่การพูดคุยแค่เกี่ยวกับเรื่องซีเรียสๆ แต่ยังมีกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม และเป็นบางครั้งก็เป็นการนำเสนอหัวข้อที่จะมาสรุปกันในรูปแบบของเกมส์และบางครั้งยังมีการแยกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อให้ไปคิดเกี่ยวกับกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย และนำเสนอในกลุ่มใหญ่ ซึ่งรวมแล้วก็สนุกดี
พอเสร็จสัปดาห์แรกผู้เข้าร่วมคนอื่นๆก็แยกย้ายกันกลับ เหลือแค่พวกเรา 4 คนที่ยังอยู่ต่อ และหลังจากอบรมเสร็จผู้ประสานงานก็มาคุยกับพวกเราอีกครั้งเกี่ยวกับกิจกรรมติอไป นั่นก็คือ พวกเราจะต้องไปนำค่าย แต่ก่อนที่ค่ายจะเริ่มพวกเรามีวันหยุด 1 สัปดาห์ เพื่อนคนอื่นๆไปเที่ยวที่อื่นกัน เราเลยตัดสินใจนัดเจอกับอาสาสมัครเยอรมันที่เคยมาอยู่ไทย 2 คนซึ่งสมัครผ่านดาหลาเหมือนกัน
ในสัปดาห์นั้นเราได้เที่ยวและสำรวจในบางส่วนของเบอร์ลิน ได้เรียนรู้วัฒนธรรมบางอย่างของเยอรมันจากคนเยอรมัน ได้พูดคุยและทำกิจกรรมกับอาสาสมัครที่เคยรู้จักกันและไม่ได้เจอกันนาน ค่อนข้าง
เป็นวันหยุดที่สนุกดี
อาทิตย์ถัดมาถึงเวลาที่ค่ายแรกต้องเริ่ม แต่ไม่ใช่ค่ายของเราเป็นค่ายของเพื่อน 2 คน ใน 6 คนแต่ละค่ายจะมีผู้นำ 2 คน ค่ายนี้อยู่ที่เมือง Senftenberg เดินทางจากเบอร์ลินด้วยรถไฟ กิจกรรมในค่ายแบ่งออกเป็นด้านนอก และด้านใน ด้านนอกจะเป็นกิจกรรมพวกซ่อมแซมตกแต่งสถานที่และอุปกรณ์ ส่วนด้านในจะเป็นการช่วยเด็กๆที่มาที่นั่นซ้อมละครเวที และสิ่งที่เราทำก็คือกิจกรรมด้านนอก ทาสี, ขนของ และงานหนักๆ อื่นๆ แต่ก็สนุกดี555 เป็นอะไรที่เคยชินเหมือนค่ายในประเทศไทยเลย และทุกเย็นหลังจากเสร็จจากก
งานก็จะมีคลาสเรียนภาษาเยอรมัน วันละ 2 ช.ม. กับเจ้าของภาษาเองเลย แต่น่าเสียดายที่เรามีโอกาสได้อยู่ที่นั่นแค่อาทิตย์เดียว เพราะค่ายที่สองกำลังจะเริ่มและมันก็คือค่ายของเรานั่นเอง
ค่ายของเราอยู่อีกเมืองนึงที่มีชื่อ Potsdam ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้าง อาคาร ปราสาท ค่ายนี้เรามีบัดดี้อีกคน เป็นคนแม็กซิกัน อายุ 25 ปี วันแรกที่ไปภถึงที่พัก ก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย เพราะเป็นค่ายแรกที่มาในฐานะผู้นำ แถมยังเป็นในต่างประเทศอีก ภาษาเยอรมันก็พูดไม่ได้ แต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดตั้งแต่การเตรียม แผนกิจกรรมกับบัดดี้ จนถึงการต้อนรับอาสาสมัคร ค่ายของเราเริ่มตั้งแต่
วันที่ 14 กรกฎาคม ถึงวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก นานกว่าค่ายในประเทศไทยอีก วันแรกสมาชิกค่ายก็ทยอยกันมา มีผู้ร่วมค่ายนี้ 12 คน ซึ่งสองวันแรกเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ เลยยังไม่มีการเริ่มทำงาน เราจึงมีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆเพื่อให้สมาชิกได้ร็จักกัน และพูดคุยเกี่ยวรายละเอียดและตารางคร่าวๆของค่าย พอวันจันทร์ พวกเราก็ไปทำงานกันตามโปรแกรม สถานที่ทำงานเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน
Potsdam มีพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ ด้านนอกเป็นสวน แล้วงานของพวกเราก็คือทำสวนที่นั่น วันแรกเริ่มทำงานตอน 9 โมงเช้า แต่วันถัดมาทางหัวหน้าโปรเจคขอเป็น 8 โมงครึ่งก็ยังพอรับได้ เลิกงานตอน
บ่ายโมง พอทำไปเรื่อยๆอากาศเริ่มร้อน ผู้ร่วมค่ายเริ่มบ่น คนที่ดูแลงานเลยบอกว่าสามารถเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นได้ถ้าไม่อยากร้อนคือเริ่มตั้งแต่ 6 โมง ครึ่ง แตอนแรกๆก็โอเค แต่พอต้องตื่นเช้าทุกวันทุกคนก็เริ่มล้าแต่ยังดีที่ทำงานแค่ครึ่งวัน ช่วงตอนบ่ายพวกเราก็มีเวลาได้พักผ่อน กิจกรรมหลักในค่ายเป็นแบบนี้ทุกๆวัน
วันหยุดก็พากันไปเที่ยว แต่สถานการณ์ในค่ายไม่ค่อยราบรื่น มีทั้งปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมผู้เข้าร่วมที่มีต่อกิจกรรมในค่ายและในงาน หรือแม้กระทั่งทีมผู้นำที่มีปัญหากัน แต่กว่าจะผ่านมันไปได้ ก็ใช้เวลาพอสมควร พอเข้าอาทิตย์ที่ 2 ทุกอย่างก็เริ่มโอเค จนอาทิตย์สุดท้ายของค่าย รู้สึกดีใจที่ค่ายจบได้ด้วยดี ถึงแม้จะมีปัญหาบ้างก็ตาม………
หลังจากจบค่ายของตัวเอง เราก็เดินทางมาค่ายสุดท้าย ซึ่งกลับเข้ามาอยู่ในเบอร์ลินอีกครั้ง ค่ายนี้กลับมาเป็นผู้เข้าร่วมอีกครั้ง กิจกรรมในค่ายนี้เป็นการทำกิจกรรมกับเด็กผู้ลี้ภัย เช่น งานประดิษฐ์, เล่นเกมส์, กีฬา เป็นต้น งานที่นี่ไม่ต้องตื่นเช้า แต่เริ่มงานตอนเที่ยงจนถึง 6 โมงเย็นงานก็ไม่หนักมาก แค่ต้องใช่ความอดทนกับเด็กนิดหน่อย เพราะน้องอายุน้อยๆทั้งนั้นเลย บางคนก็ซนบ้าง เราใช้เวลาในค่ายนี้ 2 สัปดาห์ เพราะค่ายเริ่มไปก่อนแล้ว สัปดาห์นึง แต่เรายังอยู่อีกค่าย ก็เลยต้องใช้เวลาปรับตัวทั้งกับงาน แล้วก็กับผู้ร่วมค่ายคนอื่นๆ จนค่ายดำเนินมาถึงอทิตย์สุดท้ายและจบลง พวกเราทั้ง 6 คนก็กลับไปที่พักเดิม และมีการนัดประชุมประเมินผลกับองค์กร มีการประเมินกิจกรรมตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา พูดถึงปัญหาและข้อเสนอแนะที่
เกี่ยวกับกิจกรรม กินข้าวพูดคุยกับผู้ประสานงาน และมีวันหยุดพักผ่อนจนถึงวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งก็คือวันกลับ เรากลับถึงประเทศไทยในวันที่ 23 สิงหาคม 2561
สิ่งที่เราได้จากการไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้คือการ…
ฝึกเป็นเป็นผู้นำในค่าย การจัดการค่าย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการบริหารกิจกรรมการเงิน หรือแม้กระทั่งปัญหาในค่ายเพราะเรารู้สึกว่าถึงแม้เราจะเคยเจอมาหลายๆค่ายในประเทศไทย แต่สถานการณ์บางอย่าง และ
คนในค่ายแตกต่างจากที่เราเคยเจอ การใช้ชีวิตในต่างประเทศด้วยตนเอง การอยู่ร่วมกันในสังคมที่แตกต่าง การแก้ไขปัญหาและผ่านอุปสรรคต่างๆด้วยตนเองไม่ว่าจะเจอปัญหาหนักขนาดไหน และอื่นๆอีกมากมาย ทุกอย่างที่เราได้ผ่านมาในสองเดือนนี้ มันทำให้เราได้ประสบการณ์เรียนเกี่ยวกับทักษะในการทำงาน และทักษะในการใช้ชีวิต มันทำให้เราแข็งแรงและโตขึ้นมาก เรารู้สึกภูมิใจที่สามารถทำมันได้
ขอบคุณพี่ๆ น้าๆ จากกดาหลาที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนเป็นอย่างดีและขอบคุณ IJGD ที่ให้โอกาสนี้กับเราได้ทำในสิ่งที่ท้าทาย และเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ากับเรา
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมารีวิวการไปออกค่ายอาสาที่ประเทศญุี่ปุ่น ซึ่งเมืองที่เราไปคือ oda city จังหวัด Shimane นั่นเอง ระยะเวลาทั้งหมด 17 วัน ( 9-25 ก.ย. 2561 ) ดูเหมือนนานแต่จริงๆคือเวลาผ่านไปไวมากกกก เอาง่ายๆก็คือใช้ชีวิตแบบไม่รูุ้วันเดือนปีเลยจ้าาา แฮปปี้สุดไรสุด ไปทำอะไร? มีกิจกรรมอะไรบ้าง?
งานหลักๆที่จะต้องทำส่วนมากจะเป็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น ตัดไม้ทำลายป่า เห้ยไม่ใช่ 5555555 จริงๆงานมันหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นตัดหญ้า ตัดต้นไม้ ทำความสะอาดแปลงวาซาบิ จัดอีเว้นคุยแลกเปลี่ยนภาษากับคนพื้นที่ ทำพรีเซนพรีประเทศตัวเอง ทำพิซซ่าให้เด็กอนุบาลกิน ช่วยชาวบ้านเตรียมงานเทศกาล ไปเยี่ยมโรงเรียนเด็กประถม เล่นกับเด็ก ขายไก่ทอด 55555555555 บอกแล้วเยอะจริงๆ ส่วนรายะเอียดในแต่ละวัน เราจะเขียนอธิบายใต้ภาพเอาเด้อออออ มันเยอะจริงจริ้งงงง เพื่อนในค่าย
– ส่วนแรกจะเป็นสมาชิกเวิร์คแคมป์หลักๆมีทั้งหมด 6 คน เป็นต่างชาติ 4 คน ( แม็กซิโก รัซเซีย ไทย ) ญี่ปุ่นอีก 2 คน
– ส่วนที่สองจะเป็นยุ่นซึ่งกลุ่มนี้จะสัญจรไปๆมาๆ เรียกได้ว่ามีรูมเมทใหม่ทุกวันเลยอ่ะ 5555555
-ส่วนที่สามจะเป็นสต๊าฟที่อยู่นี่นั่น 3 คน ซึ่งสามคนนี้จะเป็นคนคอยดูแลเราจ้าาาาา (ดูแลดีสุดๆ)
ที่พัก
เราพักที่ยูกิมิรู หรือส่วนกลางของชุมชนนั่นเอง ซึ่งที่นี่เค้าจะเอาไว้ทำกิจกรรมตังต่างของคนในชุมชน แต่จะบอกว่าไม่ไก่กาอาละเล่นจ้ะ มีครบทุกอย่าง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เครื่องสักผ้า ห้องประชุม พร้อมเว่ออออ เอาเป็นว่าอยู่ดีกินดีนอนหลับสบายแถมยังฟรี wifi เริ่ดไปอี๊กกกกก
มาได้ยังไง , ค่าใช้จ่ายล่ะ , ใช้ภาษาอะไร ???
1. เราสมัครผ่านทางดาหลา ซึ่งดาหลาเนี้ยจะโคกับองกรค่ายอาสาในประเทศต่างๆ ซึ่งหมายความว่านอกจากประเทศญุี่ปุ่นแล้วยังมีประเทศอื่นๆอีกด้วย
2.ค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียก็จะมี ค่าโครงงาน,ค่าวีซ่า(ในกรณีเราที่อยู่เกิน14 วัน),ค่าประกันการเดินทาง,ค่าเดินทางตั๋วเครื่องบิน,รถบัส,รถไฟ,พ็อกเก็ตมันนี่ที่จะเตรียมไปใช้
3.ใช้ภาษาอังกฤษ แต่ถ้าได้ภาษาญี่ปุ่นชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ ยกตัวอย่างเราคือเป็นคนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นเลย แม้แต่คำว่าสวัสดียังงงเลยจ้า แต่หลักๆภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างเมมเบอร์จะเป็นอังกฤษค่ะ ไม่ต้องกังวลค่ะ
สวัสดีค่ะ เราชื่อฟลุ๊คนะคะ ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการกับ NICE Japan เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน – 13 ตุลาคม 2561 โครงการนี้จัดที่เมือง Minamata จังหวัด Kumamoto ค่ะ วัตถุประสงค์หลักๆของโครงการคือ การมีส่วนร่วมในการ Stop Climate change และการสร้างมิตรภาพที่ดีกับอาสาสมัครและคนในท้องถิ่นค่ะ
สำหรับเราแล้ว ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เราไม่เคยไปมาก่อนเลยค่ะ และพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ด้วยค่ะ เราก็ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นหลักค่ะ การเดินทางก็เดินทางโดยรถไฟ รถบัสสะดวกดีค่ะ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคมินามาตะ เป็นโรคที่เกิดจากสารพิษจากปรอทค่ะ แต่ตอนนี้เมืองมินามาตะ ไม่มีคนเป็นโรคนี้แล้ว และเป็นเมืองที่ได้รับรางวัล Eco City ใครที่อยากมาเมืองนี้ก็สบายใจได้ค่ะ เป็นเมืองเล็กๆที่ติดทะเล และรายล้อมด้วยภูเขา ธรรมชาติมากค่ะ คนท้องถิ่นที่นี่น่ารักมากๆค่ะ
วันแรกที่เราไปถึงจะมีผู้นำค่ายมารับที่สถานีรถไฟค่ะ แล้วก็ขับรถต่อไปถึงที่พัก ที่พักก็สะดวกสบายดีค่ะ มีจักรยานให้ขี่ด้วยค่ะ พอถึงที่พักก็จะแนะนำให้เรารู้จักคนในค่ายค่ะ ในค่ายที่เราไปมีประเทศญี่ปุ่น 2 คน เบลเยี่ยม 2 คน และประเทศไทย 1 คนค่ะ
กิจกรรมหลักๆในค่าย คือการทำถ่านไม้ไผ่ค่ะ โดยการเอาไม้ไผ่ที่ตัดแล้วเรียงลงในเตาเผา แล้วเผาไม้ไผ่จนไหม้หมด ใช้ระยะเวลา 3-4 วัน แล้วถึงเก็บนำมาใช้งานได้ค่ะ บางวันก็ไปตัดไม้ไผ่ในป่าค่ะ การที่ให้เราไปทำถ่านไม้ไผ่ เพื่อนำถ่านมาใช้ในการก่อกองไฟในหน้าหนาว แทนการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันค่ะ และมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำหลายอย่างมากค่ะ บางวันก็ให้ทำกระดาษสาเป็นลายคุมะมง, ย้อมผ้าโดยใช้สีจากวัสดุธรรมชาติมาย้อมผ้า ,ได้ลองแกะสลักหินด้วยค่ะ เราได้มีโอกาสไปโรงเรียนมัธยมใกล้ๆที่พักด้วยค่ะ พอดีมีผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทางทะเลมาที่โรงเรียนมัธยม ให้น้องๆได้ทำกิจกรรม โดยให้น้องๆไปเก็บสัตว์ทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา มาให้ได้มากที่สุด และ นำมาศึกษา species ของสัตว์ทะเลค่ะ และเราได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์มินามาตะ ด้วยค่ะ ที่นี้เป็นการเล่าประวัติของการเกิดโรคมินามาตะ และวันสุดท้ายก่อนที่เราจะกลับไทย ก็มีการจัดกิจกรรมที่สวนสาธารณะที่ Kumamoto เราก็ได้ไปงาน Event ค่ะ โดยงานนี้จะมีเด็กๆประถม เข้ามาลองทำกระดาษสา และ ย้อมผ้าค่ะ มีกิจกรรมให้เด็กลองทำเองหลายอย่างเลยค่ะ เราได้ทำกิจกรรมเยอะมากๆค่ะ สนุกดีค่ะ
เราได้ประสบการณ์หลายอย่างเลยค่ะ จากการไปค่ายอาสาสมัครที่ต่างประเทศครั้งนี้ ได้มิตรภาพจากเพื่อนๆ ได้ลองทำกิจกรรมหลายๆอย่าง ได้ทำกิจกรรมกับคนในท้องถิ่น และมีความสุขที่ได้มีส่วนร่วมในค่ายอาสาสมัคร ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็อยากจะขอบคุณเพื่อนๆอาสาสมัคร และคนในท้องถิ่น ทุกคนใจดีมากๆค่