กี่คำอธิบายก็ไม่เท่าตาเห็น
‘เป็นงานเกษตร ทำไรทำนา’ งานหนัก ช่วงเวลาทำกิจกรรมยาว (5:30 น. – 18:00 น.) วันแรกต้องเดินเท้าเข้าไป 4 กม. จึงจะถึงพื้นที่ที่ทำกิจกรรม แต่วิวสวย หมู่บ้านนี้เคยเป็นพื้นที่ร้างถูกทอดทิ้งมา 30 ปี คนที่นี่เขาอาบน้ำกันวันเว้นวัน ในการเตรียมตัว เค้าแนะนำว่าต้องเอาไฟฉายไปด้วย เพราะข้างนอกมืดมาก ไม่มีไฟ (สงสัยส้วมอยู่ข้างนอก) ช่วงเวลานี้ของปีอากาศเริ่มร้อนแล้ว แมลงชุม อย่าลืมเอาสเปรย์ฉีดกันยุงไป ในการเดินทางไปเมืองนี้ ห้ามพลาดรถเที่ยวนี้ ขบวนนี้เด็ดขาด รถมีวันละเที่ยวเท่านั้น หากพลาด ทุกอย่างจะยุ่งยากไปหมด ที่สำคัญกรุณาเตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะเราจะต้องเดินข้ามเขาเข้าไปที่ฟาร์ม ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. บางช่วงชันมาก ให้เอาของไปเท่าที่จำเป็น
นี่คือข้อมูลที่ค่อย ๆ ได้รับก่อนถึงวันเดินทาง พอใกล้ถึงวันเดินทางจริง จึงเริ่มคิดหนัก เราหาเรื่องใส่ตัวรึเปล่านะ อยู่ดีไม่ว่าดี
แต่เมื่อตัดสินใจว่าจะไปก็ต้องไปให้ได้ จากนั้นก็เตรียมการทุกอย่าง ลองซ้อมแบกเป้เดินไปมาได้ 3-4 กม. น่าจะไหวนะ เป้อย่างดีช่วยผ่อนแรงได้เยอะ เอาของใช้เท่าที่จำเป็น เสื้อผ้า 2-3 ชุดพอ ขนม อาหารแห้งงดหมด ของใช้ส่วนตัวแบ่งใส่ขวดขนาดจิ๋ว หาซื้อสเปรย์ฉีดกันยุงแบบไม่ใช้สารเคมี ฯลฯ
แม้ว่าก่อนไปจะได้รับข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายต่างประเทศที่อื่น ๆ จากน้อง ๆ ที่มีประสบการณ์มาก่อน แต่พอไปถึงสถานที่จริง ที่นี่กลับไม่เหมือนค่ายอื่น ๆ ที่น้อง ๆ เล่ามา ลักษณะกิจกรรมของที่นี่คือ การไปช่วยทำงานที่เป็นงานประจำ ไปเพื่อช่วยผ่อนแรงให้กับทีมงานของ Host ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 คน มีหลากหลายอายุ บางคนเป็นคนเมืองที่ต้องการชีวิตเรียบง่าย บางคนแก่ชรา เจ็บป่วย บางคนก็มีความบกพร่องทางสมอง แต่ทุกคนก็ทำงานร่วมกันอย่างหนัก แข่งกับเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดในช่วงฤดูเพาะปลูก และดูจะเอื้ออาทรกันดี
Maki Farm เป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่สมาชิกช่วยกันทำเพื่อเลี้ยงตนเอง มีผลผลิตเหลือไว้ขายเพียงเล็กน้อย อยู่ในหุบเขาทางภาคตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร การเดินทางเข้าไปในฟาร์มจะใช้การเดินเท้าเลาะภูเขาสูง 2 ลูก ฝีมือใหม่ ๆ อย่างพวกเราจะใช้เวลากว่าชั่วโมงครึ่งจึงจะถึง ร่างกายต้องแข็งแรงพอที่จะแบกสัมภาระขึ้นไปเอง แต่ไม่ต้องตกใจไป ถ้าเราไม่ไหวจริง ๆ ทุกคนก็พร้อมจะหยุดพักเพื่อให้เราสามารถเดินต่อไปพร้อมกันได้ (เขาไม่ปล่อยให้เดินเดี่ยวเพราะมีทั้งหมีและหมาป่ามาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ)
เมื่อไปถึงฟาร์ม ก็จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนไม่ได้อีก เพราะบนนั้นไม่มีใครหรืออะไรเลย นอกจากที่พัก ไร่นา แปลงผัก แพะ 3 ตัว ไก่ 1 เล้า และเพื่อนร่วมงานรวม 20-24 ชีวิต ทุกวันเราจะกินข้าวพร้อมกัน ทำงานร่วมกัน พวกเราจะเป็นผู้ช่วยในแต่ละงานซึ่งมีผู้นำหลักเป็น Host งานที่ทำในแต่ละช่วงเวลาก็แตกต่างกันออกไป แต่ก็จะคล้าย ๆ กันทุกวัน
ตารางงานคร่าว ๆ คือ
5:45-7:00 งานช่วงเช้าก่อนอาหารเช้า ให้อาหารและรีดนมแพะ ให้อาหารไก่ เขี่ยขี้ไก่ ถางหญ้า เก็บผัก ทำความสะอาดที่พัก เป็นลูกมือในครัวเตรียมอาหารสำหรับ 20 คน
8:45-12:00 (มีพัก 30 นาที) งาน outdoor คืองานลงแปลงนา กำจัดแมลงและวัชพืช ใช้มือล้วน ๆ ช่วยกันลงแขกทีละแปลง ถ้าฝนตกหนัก ๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นงาน indoor เช่น เลาะเมล็ดข้าวโพด คัดแยกถั่วแดงญี่ปุ่นสำหรับบรรจุถุงขาย หั่นฟาง ตัดใบชา ผ่าฟืน ฯลฯ
13:45-18:00 (มีพัก 30 นาที) มักเป็นงานในแปลงผัก มีพวกถั่ว แครอท ข้าวโพด หอมใหญ่ เป็นงานเพาะกล้า เพาะเมล็ด ถางหญ้า พรวนดิน กำจัดวัชพืชซึ่งเยอะมากเพราะไม่ใช้สารเคมีเลย ซ่อมแซมเครื่องมือ บางครั้งจะมีงานเร่งด่วนแทรกเข้ามา เช่น ซ่อมสะพานชำรุด ขุดลอกถังเก็บน้ำ ขนย้ายเครื่องจักรเครื่องมือ
19:00 ประชุมสรุปงาน และแบ่งงานสำหรับวันต่อไป และหยุดงานในวันอาทิตย์หลังอาหารเช้า
งานครัว โดยเฉลี่ยพวกเราชาวค่าย 9 คน (ต่างชาติ 5 ญี่ปุ่น 4 ) จะได้เข้าครัวเป็นลูกมือเกือบทุกวัน เพราะในแต่ละมื้อจะต้องมีผู้ช่วย ล้างหั่นผัก ก่อฟืนหุงข้าว ต้มน้ำ จัดถ้วยชาม แบ่งอาหาร และเก็บล้างจานชาม อย่างน้อย 2 คน และใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะเรากินอาหารหนักกันทุกมื้อเนื่องจากต้องใช้แรงงานอย่างมากแต่ละวัน อาหารหลัก ๆ จะเป็นข้าว กับซุปประจำวันและผัดผัก มีพิเศษบ้างก็คือ ข้าวแกงกระหรี่ ราเมน โซบะ ขนมปัง ระหว่างวันจะมีขนมกับน้ำชาในช่วงเวลาพัก 2 ครั้ง
การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างชาวค่ายไม่ค่อยจะมี เนื่องจากในแต่ละวันเลิกงาน กินข้าวเสร็จจะต้องคุยสรุปงานและแบ่งงานกัน กว่าจะเสร็จก็ทุ่มกว่า และด้วยวัยของพวกเราแตกต่างกันค่อยข้างมาก (16-61 ปี) จึงไม่ค่อยได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน ต่างคนต่างจับกลุ่มคุยกันเองตามความถนัด แต่เมื่อถึงเวลางานพวกเราก็ทำงานร่วมกันได้อย่างสนุกสนาน และลืมความเหนื่อยยากไปเลย เพราะบรรยากาศของที่นี่น่าทำงานมาก อากาศสดชื่น Host ทำงานหนักกว่าเราเยอะ เป็นต้นแบบที่ดี การกินอยู่อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญตลอดระยะเวลา 12 วัน เราได้อยู่ในที่ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้ บางวันฟ้าเปิดก็จะเห็นยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม ได้กินพืชผักปลอดสารล้วนๆ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ อาบน้ำอุ่นจากพลังงานแสงอาทิตย์ ดื่มน้ำสะอาดจากลำธาร และมีชาเขียวดื่มในทุกมื้ออาหาร ทำงานท่ามกลางหุบเขาเขียวขจี และท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้ แล้วแบบนี้จะไม่เรียกว่าสวรรค์บนดินได้อย่างไร ถ้าอยู่ที่นี่ได้นานอีกหน่อย เผลอ ๆ อาจไม่อยากบ้านก็ได้นะ
ถ้ามีโอกาสจะขอกลับไปอีกครั้งค่ะ